J-Japanese garden

Jacobean garden สวนจาโคเบียน. ยุคจาโคเบียนตามหลังยุคทิวเดอร์ (Tudor) อยู่ระหว่างปี 1605-1625 ในรัชสมัยของพระเจ้าเจมส์ที่หนึ่งแห่งอังกฤษ. แบบสถาปัตยกรรมจาโคเบียน รวมเอกลักษณ์บางอย่างของสถาปัตยกรรมกอติค กับลักษณะคลาซสิกบางแบบ. เฟอนิเจอร์ในยุคนี้นิยมใช้ไม้โอ๊คสีเข้ม. สวนจาโคเบียนยังคงเป็นสวนแบบแผน มีต้นไม้หรือพุ่มไม้(สูง)ตัดเป็นรูปลักษณ์รูปทรงต่างๆ (ดูที่คำ topiary). แปลงดินสำหรับปลูกต้นไม้ ล้อมรอบด้วยพุ่มไม้เตี้ยๆที่ตัดเป็นลวดลายพันเกี่ยวไปมา (ดูที่คำ knots). มีสวนสมุนไพรและแปลงดอกไม้ที่ปลูกภายในกรอบแบบใดแบบหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง (ที่เรียกว่า ปาร์แตร์ - parterre ดูที่คำ broderie). บางทีก็เพิ่มสิ่งก่อสร้างที่สื่อนัยอำนาจและประสิทธิภาพของน้ำ เพราะมวลน้ำเป็นพื้นที่สะท้อนแสงที่ดีเยี่ยม. เอกลักษณ์ใหม่ที่เพิ่มเข้าไป คือการเนรมิตถ้ำภายในบริเวณสวน. การสร้างถ้ำตามสวนขนาดใหญ่ จึงได้แนวคิดจากสวนยุคจาโคเบียน.
ชมสวนตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับสวนจาโคเบียนที่น่าสนใจมากที่ Hatfield House Garden ตามลิงค์นี้. เมื่ออ่านความเห็นของผู้ไปชมสวนเมื่อสิบปีก่อน ต่างผิดหวังเพราะอะไรๆที่เคยงามไม่มีที่ติ กลายเป็นความรุ่งเรืองในอดีตที่จบลงแล้วว่างั้น. ยิ่งตอกย้ำความจริงว่า การดูแลสวนให้งามตลอดทั้งปีนั้น ใช้กำลังเงินกำลังคนมากมาย น่าเห็นใจที่สุด. เพียงสวนหน้าบ้าน ก็ต้องทุ่มกายทุ่มใจให้ทุกวัน. คนสมัยใหม่ที่ทำงานหาเงินทุกวัน ไม่มีเวลาแบบนั้นแล้ว สวนหน้าบ้านที่เคยสวยเมื่อเริ่มทำ ก็แย่ลงๆจนดูไม่ได้. ในที่สุดก็เทปูนไปพื้นหน้าบ้านไปเลย เปลี่ยนเป็นที่วางรถจักรยาน ถังขยะฯลฯ. สวนอุทยานขนาดใหญ่ๆ ต้องเปิดบริการด้านอื่นๆด้วยเพื่อหารายได้มาทำนุบำรุงสถานที่ เช่นเปิดให้เป็นสถานทัศนศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ เปิดให้เช่าแสดงดนตรี จัดงานเลี้ยงแบบต่างๆ รวมถึงการให้ยืมสถานที่เพื่อถ่ายทำภาพยนต์. ในปัจจุบันดูเหมือนว่า HatfieldHouse ได้ปรับเปลี่ยนใช้นโยบายแผนใหม่แล้ว แบบสวนส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม แต่ก็มีองค์ประกอบอื่นๆที่ยกออกไป. สวนในปัจจุบันยังดูดีและน่าทึ่งไม่น้อยเลย.
พื้นที่สวนติดอาคารวัง อยู่ต่ำลงจากระดับพื้น มองจากระเบียง ได้ภาพรวมของทั้งอาคารและสวน. ภาพของ Allan Engelhardt, 1 January 2002. (Hatfield House) [CC BY-SA 2.0], via Wikimedia Commons.
สวนบริเวณนี้คือ Old Palace Garden ดั้งเดิมมีกำแพงปิดล้อมทุกด้าน. แบ่งแปลงสวนใหญ่ๆเป็นสี่แปลงสี่ทิศ มีสระน้ำพุตรงกลางพื้นที่. แปลงที่เห็นมุมซ้ายมือ จัดเป็นสวนวงกตขนาดเล็ก ไม่ปลูกอะไรไว้ภายใน ผิดจากแปลงอื่นอีกสามแปลง. ภาพของ Starlingjon, 3 October 2007 at en.wikipedia (Transferred from en.wikipedia) [Public domain] to Wikimedia Commons.
บริเวณ East Garden มีดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร จัดพุ่มไม้ตัดรูปทรงพิเศษ(ดูที่คำ topiary) ไปตั้งตรงกลางแปลงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและแปลงสามเหลี่ยม. ผู้ออกแบบเจาะจงให้มองจากชั้นบนของอาคาร. สวน East Garden นี้ไม่เปิดให้เข้าทุกวัน สัปดาห์ละวันเท่านั้น. ภาพลิขสิทธิ์ของ Hatfireld House (Photograph © Hatfield House).
ภาพมุมกว้างของพื้นที่สวน เครดิตเจ้าของภาพ > Starlingjon, 19 April 2009  at English Wikipedia [CC BY-SA 3.0] from Wikimedia Commons.

Japanese garden สวนญี่ปุ่นหรือ NihonTeien (日本庭園). ศิลปะการสร้างสวนของชาวญี่ปุ่น เกี่ยวคล้องเป็นเกลียวแน่นกับศาสนา. ศาสนาชินโตและศาสนาพุทธเป็นสองศาสนาที่เป็นฐานของการพัฒนางานศิลป์ทุกชนิดในญี่ปุ่น. ทั้งสองลัทธิปลูกฝังอุดมการณ์ว่า คนควรใช้ชีวิต หลอมตัวให้สอดคล้องและเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ. ธรรมชาติคือจิตใต้สำนึก สรรพชีวิตมีศักยภาพ มีญาณสำนึกพร้อมที่จะโอบรับ“ความเป็นธรรมชาติ”อยู่แล้ว.
การเนรมิตสวน ในนัยหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่สถิตของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้เป็นที่ที่คนอาจ“สัมผัสสิ่งที่เหนือกว่าความเป็นคน”. ต้นไม้ น้ำและก้อนหิน มีศักดิ์ศรีของมันและถูกยกขึ้นไว้สูงสุดในสวนญี่ปุ่น. เกิดเป็นสวนเซน( หรือ Zen พุทธศาสนานิกายมหายาน) ที่รวมความเรียบง่ายกับความพอเหมาะพอดีเข้าด้วยกันอย่างสมดุล บรรลุความงามสง่าและสงบ ที่เชื่อมธรรมชาติกับจิตวิญญาณขั้นสูงๆไว้. สวนญี่ปุ่นมิใช่เป็นเพียงการสร้างฉากที่สอดคล้องกับค่านิยมด้านสุนทรีย์ที่ประณีตเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกส่องธรรมชาติและปรัชญาญี่ปุ่นที่แยกออกจากกันไม่ได้.
สรุปหลักการสำคัญๆเกี่ยวกับการเนรมิตสวนญี่ปุ่นคือ
. การถอดแบบธรรมชาติและย่อส่วน เพื่อให้ได้เห็นภูมิประเทศหลายแบบภายในพื้นที่จำกัด เช่นภูเขา ทะเล ทะเลสาบหรือแม่น้ำ. การย่อส่วนย่อขนาดลงนั้น ยังเอื้อให้ลดความยุ่งยากซับซ้อนในการนำเสนอด้วย. ความเรียบง่ายเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดในศิลปะญี่ปุ่นเกือบทุกแขนง.    
. การเป็นสัญลักษณ์ ที่สืบเนื่องกับศาสนาและบทบาทของศาสนาในยุคเริ่มแรกของการรังสรรค์สวนญี่ปุ่น ถ่ายทอดอุดมการณ์และปรัชญาศาสนาด้วยวิธีการที่เรียบง่ายและสัมผัสได้ด้วยสายตาเป็นต้น (แทนการอธิบายด้วยภาษาพูดหรือเขียนที่ไม่เป็นที่เข้าใจกันนักเพราะขาดความรัดกุมและสามัญชนขาดความรู้เจาะลึกเกี่ยวกับอักษรจีนที่ใช้ ที่เพียบด้วยนัยซ้อนนัยและบริบทอ้างอิง). ระบบสัญลักษณ์ในสวนญี่ปุ่นยิ่งย่นย่อลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา เช่นหินก้อนใหญ่ตั้งโดดเด่นโดดเดี่ยวแทนเขาพระสุเมรุในวัดพุทธ หรือ Hōrai (蓬莱) ภูเขาที่สถิตของเทพแปดองค์หรือโป๊ยเซียน(八仙ในลัทธิเต๋า. หินสองก้อน ก้อนเล็กผิวหน้าราบกว่า ข้างหินก้อนใหญ่ตั้งสูงแหลมขึ้น แทนเต่ากับนกกระสา. แล้วต้องโยงความคิดต่อไปอีกด้วยว่า ทั้งเต่าและนกกระสาเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืน ของความสุข. ระบบสัญลักษณ์แบบนี้ของญี่ปุ่นยิ่งทียิ่งถูกย่อลง เหลือเพียงองค์ประกอบชิ้นเดียว ให้เป็นสัญลักษณ์แทนระบบความคิดทั้งหมด.
. การนำสภาพภูมิประเทศหรือสภาพแวดล้อมที่อยู่นอกพื้นที่สวนมาใช้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการรังสรรค์สวนภูมิทัศน์แบบญี่ปุ่น (เป็นทิวทัศน์องค์ประกอบสวนที่ยืมเข้ามาไว้ในสวน เรียกว่า borrowed landscape หรือ shakkei 借景) เช่นอาคารวัด(หลังคาโบสถ์ที่อยู่ไกลออกไป) เทือกเขาหรือภูเขาในถิ่นนั้น แม่น้ำหรือทะเล. ระบบทัศนมิติของญี่ปุ่นไม่เหมือนกับทัศนมิติแบบตะวันตกที่มองจากแนวราบไปสู่จุดไกลออกไปณขอบฟ้าและองค์ประกอบเล็กลงๆ. ทัศนมิติแบบญี่ปุ่นคือแบบในจิตรกรรมจีน(จิตรกรรมฝาผนังของไทยก็เช่นกัน) ตั้งอยู่บนความต่างกันใน“ความลึก” เป็นพื้นที่ตรงหน้า พื้นที่ลึกเข้าไปตรงกลางและพื้นที่อยู่ไกลที่สุด. ระหว่างพื้นที่สามระดับความลึกนี้ มีสายน้ำแทรกไว้ พื้นหญ้าหรือแนวทราย. (ขนาดของภาพที่นำเสนอ ไม่ได้ลดลงเป็นสัดส่วนตามระยะทางดังในขนบทัศนมิติตะวันตก). ส่วนทิวทัศน์ที่ยืมเข้ามาไว้ในสวนอยู่ใน“ความลึก”ระดับที่สี่ของสวน.
ภาพจากสวนอิซุยเอ็ง (Isuien 依水園) เมืองนารา มุมนี้มองเห็นเนินเขาที่ล้อมรอบจังหวัดนารา. เห็นยอดหลังคาของประตูทางเข้าทิศใต้(Nandai-Mon 南大) ของวัดหลวงพ่อโต (Todaiji 東大寺,เมืองนารา) เนินเขาและหลังคาวัดเป็นทิวทัศน์ที่“ยืม”เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสวน.

    หนังสือที่ต้องอ้างอิงถึงเป็นอันดับแรกเกี่ยวกับสวนญี่ปุ่น คือเล่มที่ชื่อ Sakuteiki 作庭記 บันทึกการสร้างสวน ที่เป็นหนังสือญี่ปุ่นเล่มเก่าที่สุดที่พิมพ์ออกมาเกี่ยวกับสวน. เชื่อกันว่า Tachibana Toshitsuna (橘俊綱, 1028-94) เป็นผู้ประพันธ์ขึ้นระหว่างกลางถึงปลายศตวรรษที่สิบเอ็ด(ในยุคเฮอัน Heian). เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะก่อนและพิมพ์เป็นเล่มในราวปี 1289. เป็นหนังสืออ้างอิงเล่มสำคัญเล่มเดียวที่ใช้กันมาหลายร้อยปี. ผู้ประพันธ์ได้เจาะจงว่า ศิลปะของการสร้างสวนภูมิทัศน์ คือการถ่ายทอดอารมณ์กวีของผู้ออกแบบที่มีต่อพื้นที่ที่จะกลายเป็นสวนในอุดมการณ์ของเขาในที่สุด. ตั้งแต่ต้นเรื่อง เขาให้ความสนใจสูงสุดกับการจัดวางก้อนหินในพื้นที่สวน และเน้นอย่างชัดเจนว่าการรู้จักจัดตำแหน่งที่ตั้งของก้อนหินในสวน(ตามสำนวนของเขาที่ว่า ishi wo tateru koto) คือศิลปะการสร้างสวนนั่นเอง. การรู้จักจัดวางหินนั้น คือ“การฟังและทำตามความต้องการของหินแต่ละก้อน”.
     ภูมิประเทศแบบใดบ้างที่สมควรเอามาเป็นแบบในการสร้างสวน. ในหนังสือเล่มนี้ได้บอกเล่าไว้ห้าแบบและวิธีการจัดสวนที่สรุปมาให้คร่าวๆดังนี้
. สวนแบบทะเล taikai-no-yō (大海の樣) ตั้งหินให้ยื่นออกไป(เหมือนโขดหินริมฝั่งทะเล) เอาหินที่มีขอบแหลมก้อนเด่นๆวางไว้บนเส้นขอบสระน้ำ(ที่แทนทะเล) ให้มีหินก้อนเดี่ยวๆยื่นโผล่ออกจากบางจุดบนเส้นขอบสระ. หินทั้งหลายนั้นควรหาที่ดูเหมือนถูกกัดเซาะด้วยคลื่นรุนแรงมาแล้ว. สวนแบบนี้จบลงกับหมู่ต้นสนบนแหลมทรายที่ยื่นลงสู่น้ำ. ในหนังสือเล่มนี้ยังเจาะจงพูดถึงสวนที่สร้างเลียนแบบชายฝั่งทะเลภาคเหนือของเกาะญี่ปุ่น ที่เป็นโขดหินสูงชันที่ถูกทั้งลมและน้ำทะเลกัดเซาะ (แบบ araiso-no-oki 荒磯の沖) แต่ต่อมาได้ยกสวนแบบนี้ออกจากแบบสวน.
. สวนแบบกระแสน้ำไหลเชี่ยวลงจากเขาสูง yamakawa-no-yō (山河の様) สวนแบบนี้ใช้หินจำนวนมากก้อนใหญ่ก้อนเล็ก จัดวางกระจายออก ให้กระแสน้ำที่ไหลลงกระทบหินเหล่านี้แตกกระเซ็นไปรอบๆและแบ่งเป็นหลายสาย.
. สวนแบบแม่น้ำสายกว้างไหลเอื่อยๆ taiga-no- (大河の様) สร้างทางน้ำไหลให้เหมือนรอยบนพื้นเมื่องูเลื้อยผ่านไปแล้ว. นำหินก้อนใหญ่ที่สุด งามชัดเจนที่สุดไปตั้งตรงต้นกระแสน้ำ ส่วนหินก้อนเล็กอื่นๆจัดตามกันลงไปในผืนน้ำที่สร้างมุมมองและบรรยากาศของสายน้ำที่ค่อยๆไหลเลี้ยวไปตามทาง. อีกวิธีหนึ่งที่ใกล้เคียงกัน (ōkawa-no-yō (大河の様)  คือวางก้อนหินในตำแหน่งที่กระแสน้ำเปลี่ยนมุมหรือทิศทาง ให้เห็นสายน้ำไหลเลี้ยวก้อนหินไป.
. สวนแบบหนองน้ำหรือบึง numaike-no-yō (沼池の樣) ปลูกไม้ดอกที่ชอบดินชื้นแฉะเช่นต้นไอริส. น้ำในสระควรเต็มปริ่มๆรวมไว้เป็นผืนน้ำผืนเดียวกัน และควรบังช่องทางไหลเข้าออกของน้ำ มิให้เห็นต้นตอที่มาของน้ำชัดเจนเกินไป.
. สวนแบบพงหญ้า ashide-no-yō (蘆手の様) มีเนินเขาไม่สูงมาก หินสองสามก้อนจัดวางไว้ใกล้ทุ่งหญ้าหรือใกล้ผืนน้ำ. ปลูกไม้พันธุ์หญ้าแพรรี (prairie). อาจปลูกต้นหลิวหรือต้นอื่นใดที่มองดูอ่อนโยนตามรสนิยมส่วนตัว.

    เมื่อพิจารณาจากการประกอบสวนญี่ปุ่นเพื่อจุดมุ่งหมายเฉพาะเจาะจงแบบหนึ่งแบบใด อาจแบ่งสวนญี่ปุ่นออกเป็นสามสี่ประเภทใหญ่ๆ. อุทยานขนาดใหญ่ อาจแบ่งพื้นที่แยกกันและเนรมิตสวนสองหรือสามประเภท ภายในพื้นที่อุทยานเดียวกันได้. ประเด็นที่สำคัญที่สุดของสวนทุกประเภทคือการสร้างบรรยากาศที่สงบและผ่อนคลายในสวน. และหินเป็นองค์ประกอบที่ขาดมิได้. หินที่นำไปปูพื้นเดินเชื่อมการก้าวของคน หรือนำไปสร้างสะพานทำหน้าที่เชื่อมและแบ่งแยก. มีความหมายมากพอๆกัน. โชคดีสำหรับเกาะญี่ปุ่นเป็นเกาะภูเขาไฟ จึงมีหินให้ใช้ไม่ขาดแคลน.
. สวนภูมิทัศน์ ประเภท Shizen fūkeishiki (自然風景式庭園 บางทีก็ใช้คำว่า  tsukiyama 築山 ที่แปลว่า ธรรมชาติหรือโลกที่สร้างแบบย่อส่วน) คือสวนทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่มีอยู่จริง. เป็นแบบสวนที่นำเสนอธรรมชาติในขนาดย่อส่วน มักโยงไปถึงภูมิประเทศที่มีชื่อเสียงในประเทศจีนหรือในญี่ปุ่น. หิน(แทนเนินเขา) สายธารหรือบึงที่มีสะพาน ต้นไม้ พุ่มไม้และไม้ต้นไม้ดอกอื่นๆที่เลือกสรรอย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับสวนนั้น. ต้นไม้มักปลูกถอยไปด้านหลังเพื่อไม่ให้กิ่งก้านหรือใบบังภาพรวมของสวน. การตัดหรือดัดกิ่งและลำต้น เป็นไปเพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตในรูปลักษณ์ที่ต้องการ. สวนประเภทนี้ให้คนชมสวนเหมือนชมจิตรกรรม (เรียกว่า chisen teien 池泉庭園) องค์ประกอบของสวนอ่อนโยนเหมือนคลื่นน้อยๆในบึง รวมกันสร้างบรรยากาศที่สุขสบายและผ่อนคลาย. เป็นสวนที่คนนั่งมองจากอาคารใหญ่ในพื้นที่นั้น. สวนประเภทนี้สร้างให้เดินเล่นก็ได้ (เรียกว่า chisen-kaiyū-shiki-teien 池泉回遊式庭園) และเมื่อออกเดินไป ก็พบมุมมองสวนที่ต่างกันไปบนเส้นทาง. การสร้างลอกเลียนภูมิประเทศนั้น เหมือนจริงไหมนั้น ไม่สำคัญเท่าการเนรมิตอุดมการณ์ภูมิทัศน์ภายในพื้นที่ที่จำกัดให้ได้งามที่สุด และที่เอื้อต่อการมองกลับเข้าสู่ตัวตนภายในตนเอง.
. สวนประเภท Chaniwa (茶庭) หรือสวนบริเวณอาคารชาหรือเรือนประกอบพิธีชงชา. เส้นทางเดินในสวนจัดไว้อย่างมีนัยสำคัญ ที่กระตุ้นความสนใจให้อยู่ที่ก้อนหินที่ปูไปบนทางเดิน การจัดวาง ช่วงห่างระหว่างก้อนหิน ให้สังเกตต้นไม้ที่ปลูกบนเส้นทาง. ทำให้การเดินที่มุ่งไปสู่อาคารชานั้น เป็นการเดินเพื่อปล่อยวางความหมกมุ่นใดๆ หันไปพิจารณาทางเดิน เพ่งมองวิธีการจัดวางก้อนหินให้ก้าวเดินไป ทำให้เกิดการสำรวมจิตใจและที่เอื้อต่อการสำรวจจิตสำนึกจนถึงการทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใสไร้อคติ ก่อนเข้าไปในเรือนน้ำชา ไปร่วมพิธีชงชา. นอกจากนี้ มีหินขนาดใหญ่ที่เป็นแอ่งลึกลงใช้บรรจุน้ำ เคยใช้เพื่อให้เป็นที่ล้างมือ (เรียกว่า 蹲踞 Tsukubai มาจากคำกริยา 蹲うtsukubau ที่แปลว่า หมอบ ก้มลง เป็นอากัปกิริยาของความถ่อมตน. หินดังกล่าวอาจมีขนาดต่างๆกัน. แอ่งหินใหญ่ๆมักตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าบริเวณศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ล้างมือ อันเป็นวิธีย่นย่อของการชำระล้างตัวให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าไปในศาสนสถาน). ปัจจุบัน แม้เรือนนำชายังคงอยู่ แต่การประกอบพิธีชงชานั้น ลดน้อยลงไปมาก อาจต้องกำหนดนัดหมายไปกันเป็นกลุ่ม(เช่นกลุ่มสมาคมสตรี) และขอให้สวนจัดพิธีให้โดยเฉพาะกลุ่ม. ดังนั้นเรือนน้ำชา (และแอ่งน้ำลึกสำหรับล้าง) จึงไม่ได้ใช้จริงเหมือนในอดีต แต่เปิดให้คนเข้าไปเดินหรือนั่งพักชมทิวทัศน์สวน.
    อาคารชาหรือเรือนน้ำชาเรียกว่า ฉะชิสึ (Chashitsu 茶室) เป็นกระท่อมหลังคามุงด้วยฟางข้าว หญ้าหรือเปลือกไม้แผ่นบางๆซ้อนเกยกันไป. เรือนน้ำชาตามขนบเคร่งครัดนั้น มีลักษณะเรียบง่ายที่สุด ภายในก็เช่นกัน ยืนยันและเน้นหลักการของความสมถะ ถ่อมตน ให้เป็นที่ที่ปล่อยลาภ ยศ สรรเสริญลง. ตั้งแต่ประตูทางเข้าที่เตี้ยกว่าความสูงโดยเฉลี่ยของคนญี่ปุ่น. ผู้ที่จะเข้าไปต้องก้มตัวลงต่ำมาก เป็นก้าวแรกของการปล่อยวาง ปล่อยความถือตนลง.(ตามไปอ่านความสำคัญของกระท่อมชาในปรัชญาญี่ปุ่นได้ในวิถีชาที่อยู่ในบล็อกตามลิงค์นี้).
Tsukubai แบบนี้จำหลักตรงกลางเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีตัวอักษร ตั้งแต่ตัวบนเวียนตามเข็มนาฬิกาสี่ตัวคือ, ,  (อักษร 足 ตัวนี้มากับสี่เหลี่ยมที่อยู่ตอนบน ตัดออกไปแล้ว ระบบเขียนให้ไม่ได้) เมื่อรวมอักษร 囗 ที่คือสี่เหลี่ยมจัตุรัสตรงกลางที่แปลว่า ปาก เข้าไปในทั้งสี่ตัวแล้ว  เกิดเป็นคำที่มีความหมายชัดเจน เป็น (ข้าพเจ้า), (เท่านั้น), (มีเต็ม), (รู้) อ่านในภาษาญี่ปุ่นว่า ware tada taru shiru แปลตามตัวว่า ข้าพเจ้าเท่านั้นที่รู้เต็มที่. นัยความหมายลึกซึ้งดังที่วิเคราะห์กันไว้คือ “สิ่งที่คนรู้เพียงพอแล้ว” หรือ “จงพอใจในสิ่งที่มี” การตีความดังนี้สอดคล้องกับพุทธธรรมที่สอนให้อยู่ในความพอดีพอเพียง ไม่ใฝ่หาเพิ่มพูนสมบัตินอกกาย. ภาพอ่างหินนี้จากวัดเรียวอันจิ (Ryoanji 龍安寺) เมืองเกียวโต. เครดิตภาพของ MichaelMaggs, 17 January 2004.[CC BY-SA 2.5], from Wikimedia Commons.
อ่างหินอีกแบบหนึ่งที่สวนอิซุยเอ็ง (Isuien 依水園) เมืองนารา.
(ไม่ใช้ล้างมือแล้ว เพราะไม่มีที่ตักน้ำ กลายมาเป็นสิ่งประดับข้างเรือนน้ำชา)
อ่างน้ำหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะเต็ม อยู่ข้างตะเกียงหินบนพื้น. เห็นทางเดินบริเวณนี้ที่อยู่ข้างเรือนน้ำชา. ให้สังเกตว่า หินแต่ละก้อนนอกจากไม่เท่ากัน ไม่เรียบนักและวางห่างกันในระยะที่ไม่เท่ากันเสมอไป. ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นความจงใจในการสร้างสวนและเส้นทางเดินไปยังอาคารชา. ดึงความสนใจของผู้เดินให้มองลงบนพื้น ที่จะก้าวเหยียบลงไปทุกฝีก้าว ยิ่งสตรีสวมเกือกไม้ญี่ปุ่นด้วยแล้ว ต้องเดินอย่างมีสติ. (ปัจจุบันการล้างมือจากน้ำในอ่างหินแบบนี้ไม่ทำกันแล้ว และอาคารชาก็ขยายพื้นที่กว้างเพื่อจุคนจำนวนมากได้ ประตูเข้าออกก็ไม่เตี้ยแล้ว) ยังมีเรือนน้ำชาตามขนบเคร่งครัดยุคก่อนอยู่อีก มักไว้โชว์เป็นข้อมูลสถาปัตยกรรมสมัยก่อนเป็นสำคัญ. ภาพจากวัด Sesshuji Teien (雪舟庭) เมืองเกียวโต.
สตรีญี่ปุ่นรุ่นก่อน นิยมสวมชุดกิโมโนเมื่อไปร่วมพิธีชงชา โดยเฉพาะหากเป็นวาระสำคัญ. ให้สังเกตดูการขึ้นลงเรือน การก้าวและยืนบนก้อนหิน. ไม่ง่าย! หากไม่ระวังล้มลง นอกจากเจ็บตัว ยังน่าอายด้วยในสายตาของคนญี่ปุ่น. ภาพจากสวนอิซุยเอ็ง (Isuien 依水園) เมืองนารา.
อ่างหินอีกแบบหนึ่งจากวัด Shisendoo (詩仙堂) เมืองเกียวโต
อ่างหินรูปยาวนอกชานที่วัด Chishakuen (智積院) เกียวโต. ในที่สุดอ่างหินใส่น้ำปริ่มๆเป็นองค์ประกอบสวนญี่ปุ่นไปด้วย ตั้งในมุมที่ดี น้ำสะท้อนมุมมองอื่นเพิ่มขึ้นอีก.
อ่างน้ำหินขนาดใหญ่สำหรับล้างมือก่อนเข้าสู่บริเวณศาลเจ้าโอ๊ยาหมะ (Oyama Jinja 尾山神社) เมือง Kanazawa.
. ประเภทสวนแห้งไม่มีน้ำเป็นองค์ประกอบเลย เรียกว่า Karesansui 枯山水[คาเร่ซังซุย]( แห้ง, ภูเขา, น้ำ). สวนเซนอาจมองได้จากจุดเฉพาะจุดหนึ่งหรือจากมุมมองหลายมุมที่ผู้สร้างกำหนดไว้แล้ว. เป็นสวนที่เดิมชมด้วยสายตาและความคิดกับความรู้สึก. ตากวาดพื้นที่ ความคิดเจาะนัยปรัชญาศาสนาและความรู้สึก(สงบหรือปิติ)ที่ได้สัมผัสสิ่งที่เห็นตรงหน้า. สวนเซนเป็นภาพลักษณ์ของจักรวาลดังที่พรรณนาไว้ในพุทธศาสนา. หินอาจวางเป็นกลุ่มสองหรือสามก้อนเพื่อสื่อเกาะแก่งและภูเขา ในทะเลที่ทำด้วยทรายเต็มทั้งพื้นที่. ผืนน้ำที่เป็นทรายถูกคราดให้เป็นคลื่นและเป็นวงๆเหมือนน้ำวนในทะเล. ไม่มีพืชพรรณมากนักนอกจากตะไคร่น้ำที่ขึ้นบนหินหรือเฟิร์นใกล้ๆหิน บางแห่งอาจมีต้นไผ่ ต้นสนหรือต้นเมเปิลต้นใดต้นหนึ่งเพียงหนึ่งหรือสองต้นที่ตัดและดัดอย่างสวยงามและแฝงความหมาย. บางแห่งไม่มีต้นไม้เลย. สวนเซนอาจจัดหินตั้งเป็นระบบดวงดาวบนพื้นทรายที่เป็นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เช่นที่วัด Tofukuji ในเกียวโต.
สวนทรายที่วัด Tofukuji (東福寺) เมืองเกียวโต.
สวนทรายเสนอภาพดวงดาวในจักรวาลที่วัด Tofukuji (東福寺) เมืองเกียวโต.
อีกแบบหนึ่งที่จัดพื้นดินคลุมหญ้ามอส ฤาจะแนะว่าเป็นเกาะสวรรค์อุดมสมบูรณ์
ที่วัด Daitokuji เมืองเกียวโต
หรือบนขอบทางเดินแบบนี้ที่วัด Daitokuji เมืองเกียวโต

ปัจจุบัน มุมน้ำชาแบบง่าย สะดวกและรวดเร็ว ไม่มีพิธีรีตองมาก แต่ยังมี a delicate touch of Japan พอให้ได้ปลื้ม ภาพจากวัด Shisendoo (詩仙堂) เมืองเกียวโต

    ยังมีสวนที่สะท้อนจินตนาการของ แดนบริสุทธิ์ในพุทธภูมิ (เรียกว่า Jōdoshiki teien 浄土式庭園) โดยมีอาคารที่ประดิษฐานพระพุทธรูป(Amida Hall) เป็นศูนย์กลาง วัดทั้งหลังยังสะท้อนในบึงน้ำใหญ่หน้าอาคารด้วย. เป็นแบบสวนที่เป็นส่วนหนึ่งของวัดพุทธในยุคเฮอัน (Heian, 794-1185AD) และต่อมาในยุคคามากุระ (Kamakura, 1185-1333AD).
ตัวอย่างต้นแบบที่สง่างาม อยู่ที่วัดเบียวโดอิน (Byodo-In 平等院) ชานเมืองเกียวโต. ที่นั่นเคยเป็นตั้งของอารามพระสงฆ์ตั้งแต่ปี 1052. มีพระพุทธรูปในท่าประทับเหนือดอกบัวบาน. เป็นพระพุทธรูปแกะสลักขนาดใหญ่สูง5.5เมตร (ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแห่งชาติ) ที่ขนานนามไว้ว่าพระอมิตาภะ Amitabha ประดิษฐานเป็นองค์พระประธานภายในอาคารใหญ่ที่เรียกว่าหอฟีนิกซ์-Phoenix Hall (มีนกฟีนิกซ์กระพือปีกกว้างประดับบนหลังคา) และมีรูปไม้แกะสลักเป็นพระโพธิสัตว์อีก52 รูป กำลังเล่นดนตีหรือรำฟ้อนในหมู่เมฆ(สรรเสริญพระอมิตาภะ) ประดับบนกำแพงด้านหลังขององค์พระประธาน.
    ตั้งแต่ศตวรรษที่17 เกิดสวนส่วนตัวของขุนนางศักดินา (daimyō teien 大名庭園) ในยุคเอโดะ (Edo 江戸, 1608-1868). ขุนนางศักดินาหรือไดมิโย เป็นผู้มีอำนาจมาก รองจากโชกุนเท่านั้น ปกครองบริหารประเทศตั้งแต่ศตวรรษที่10 ถึงกลางศตวรรษที่19. พวกเขาเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาและศิลปะ และเลี้ยงดูศิลปินผู้ทำงานให้เขาในด้านต่างๆ. สร้างคฤหาสน์เป็นนิวาสสถานอันใหญ่โต. การสร้างวิลลาบวกสวนขนาดใหญ่สืบต่อมาในยุคเมจิ (Meiji 明治, 1868-1912) นักการเมืองและนักธุรกิจ ต่างสร้างสวนส่วนตัวให้เป็นรมณียสถานตามแบบสวนในยุคเอโดะ. สถานที่ทำการรัฐบาลหรือสถานเพื่อสาธารณประโยชน์เช่นพิพิธภัณฑ์หรือหอศิลป์ ตลอดจนโรงแรมใหญ่ๆ ต่างพากันเนรมิตสวนภายในพื้นที่ด้วย. สวนมีชื่อที่ได้รับการจัดเป็นสวนดีเด่นสามสวนของญี่ปุ่น (Nihon san meien日本三名園) เป็นแบบสวนที่เนรมิตขึ้นในยุคเอโดะทั้งสิ้น สวนสามนี้คือ สวนเก็งโรกึเอ็ง Kenrokuen (兼六園 เมือง Kanazawa), สวนโกระกึเอ็ง Kôrakuen (後楽園 เมือง Okayama) และสวนไคระกึเอ็ง Kairakuen (偕楽園 เมือง Mito).
ชมภาพตัวอย่างจากสามสวนชื่อดังของญี่ปุ่น ข้างล่างนี้
** สวนเก็งโรกึเอ็ง Kenrokuen (兼六園 เมือง Kanazawa)
เอกลักษณ์พิเศษของที่นี่ คือการจัดทำ “เสื้อคลุม” ด้วยเชือกถักจากต้นข้าว(ฝีมือคนสวนที่นั่นเอง)  มารวมกันเป็นจุกเหนือต้นสนผู้เฒ่าและต้นเด็กอ่อน เพื่อเป็นตัวรับน้ำหนักหิมะที่จะตกลงในฤดูหนาว ช่วยลดปริมาณหิมะมิให้ตกทับกิ่งสน. เขาเริ่มเตรียมคลุมต้นสนในสวนนั้นวันที่ ๑ พฤศจิกายนทุกปี. ตรงไปดูให้รู้ ยินดีกับต้นสนทั้งหลายที่มีผู้ดูแลดีเยี่ยม และคารวะคนสวนทุกคน. ตะเกียงหินบนขาสูงยาวๆก็เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของที่นั่น.



** สวนโกระกึเอ็ง Kôrakuen (後楽園 เมือง Okayama)
สวนนี้จัดเหมือนสวนภูมิทัศน์ คือมีสวนหลายแบบ เป็นสวนผลไม้ สวนชา(ไร่ชา) สวนหิน สวนอายริซ สวนน้ำ และทุ่งหญ้าผืนใหญ่. เป็นสวนยอดนิยมสำหรับไปถ่ายรูปที่ระลึกเนื่องในวันมงคลสมรสเป็นต้น. ตะเกียงหินวงกลมแบบนี้ ก็มีที่นั่นเท่านั้น. เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องผลพีชสีขาว รสอ่อนๆหวานละมุนละไม และหอมตรึงใจ.



** สวนไคระกึเอ็ง Kairakuen (偕楽園 เมือง Mito)
ภาพสวนนี้ที่เมือง Mito [หมิโต๊ะ] อาจดูโล้นๆ. ไปหลายครั้งเพื่อดูยามดอกบ้วยบาน (ume อือเมะ) ก็ไม่ได้เห็นนัก. ตั้งบนเนินสูงเหนือฝั่งแม่น้ำ ทัศนียภาพงดงาม มีต้นสนชื่อดังจำนวนมาก(เพราะจักรพรรดิไปปลูกไว้เป็นต้น). พุ่มไม้ที่ตัดกลมๆนั้น เป็น Azelea ยามบานคงสวยไม่น้อย. ยังมีสวนไผ่ที่น่าสนใจ. เป็นสวนที่ปลูกต้นบ้วยจำนวนมากบนเนินเขาอีกด้านหนึ่ง การตามดูดอกบ้วยบานนี่ ยากกว่าตามดูซากุระมาก ไปมาหลายแห่ง ไม่เคยสมใจ. ดอกบ๊วยหรืออือเมะ(ญ) เป็นหนึ่งในสามต้นไม้“ศักดิ์สิทธิ์” หรือมีศักดิ์ศรีเหนือต้นไม้อื่นใด ในศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น อันมีต้นสน ต้นไผ่และต้นบ๊วย.



*****
    รูปแบบของสวนญี่ปุ่นผนวกปรัชญาและแฝงนัยความหมายสัญลักษณ์ไว้ด้วยเสมอ จึงไม่ใช่แบบสวนที่โลกตะวันตกรับไปปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความคิดอ่านของพวกเขาได้ง่ายนัก. เช่นตำแหน่งที่ตั้งของหินก้อนใหญ่ภายในพื้นทรายที่คราดไว้อย่างเหมาะเจาะ เพียบด้วยความหมาย. สวนญี่ปุ่นแบบนี้เป็นสวนเซน เป็นสวนทรายหรือสวนหิน มักไม่ใช่แบบที่แพร่หลายในต่างประเทศ เพราะความจำเป็นในการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องมีการคราดทรายอย่างสม่ำเสมอ และการคราดทรายเป็นการทำสมาธิหรือการปฏิบัติธรรมแบบหนึ่งด้วย. หินที่ประดับสวนญี่ปุ่นนั้น เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของสวนญี่ปุ่น (เลือกทั้งขนาด รูปร่างทุกมุมมอง เนื้อหิน ลายในตัวหิน สีเป็นต้น).
   การติดต่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ทำให้ชาวตะวันตกสนใจเนรมิตสวนญี่ปุ่นในอุทยานขนาดใหญ่ในตะวันตก เพื่อเป็นตัวอย่างและเป็นแง่คิด โดยได้รับความร่วมมือจากประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ทั้งในด้านการช่วยออกแบบวางแปลนสวนและในด้านการให้พรรณไม้ญี่ปุ่นไปประดับที่สวนนั้น. อย่างไรก็ดี สวนญี่ปุ่นนอกพรมแดนอาทิตย์อุทัย เป็นสวนญี่ปุ่นประเภทสวนเขียวสวนน้ำมากกว่าจะเป็นสวนเซน (แต่ก็มีในบางเมือง บางประเทศ).
    ต้นไม้ที่ปลูกในสวนญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน นิยมเป็นพันธุ์เดียวกันหมดในบริเวณกว้างบริเวณหนึ่ง เพื่อสร้างเป็นฉากดอกไม้พันธุ์นั้นในฤดูใบไม้ผลิ หรือเป็นฉากสีแดงสีเหลืองและสีทองของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง. ปัจจุบันการสร้างสวนขนาดใหญ่ด้วยพันธุ์ไม้ดอกพิเศษชนิดเดียว นอกจากนำรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว ดอกไม้ที่ปลูกยังมีค่าทางเศรษฐกิจ เมื่อนำไปแปรรูปเป็นสินค้าประเภทต่างๆ เช่นเครื่องสำอางค์ น้ำหอม น้ำอบ. ดอกไม้บางชนิดยังนำไปทำไวน์ได้ด้วย (เช่นดอกดาหลีญี่ปุ่น). สวนลาเวนเดอร์ที่เกาะฮ็อกไกโดเป็นตัวอย่างหนึ่ง. นอกจากนี้ มีค่านิยมว่าดอกไม้สื่อความหมายในหมู่คนญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน อาจตรงกันหรือต่างกันกับนัยที่เข้าใจกันในหมู่ชาวตะวันตก.
    สวนใหญ่ๆที่เป็นสวนญี่ปุ่นตามขนบแบบแผนโบราณ มักเป็นสวนภายในบริเวณวัด ศาลเจ้าหรือวัง. ในกรณีของวัดหรือศาลเจ้า เท่ากับชักจูงคนไปสักการบูชาเทพเจ้าหรืออริยบุคคลประจำวัดนั้นด้วย. รายได้จากการเข้าไปชมวัดชมสวนเป็นรายได้หลักของวัดและสวนนั้น ทำให้สามารถดูแลรักษาสวนและวัด ได้อย่างมีประสิทธิผลเต็มที่. มีวัดหลายแห่งในญี่ปุ่น ที่ปลูกต้นบ้วย (Ume, prunus mume, ) นอกจากได้ชมดอกไม้แล้ว ลูกบ๊วยเป็นอาหาร เป็นยาและนำมาทำเหล้าบ๊วยที่เป็นเหล้าช่วยย่อยอาหารมาแต่โบราณ. ต้นบ๊วยเป็นหนึ่งในต้นไม้สามชนิดที่จัดอยู่ในหมู่ต้นไม้สำคัญ(แบบมีศักดิ์ศรีจนศักดิ์สิทธิ์) ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น อันมีต้นสน (matsu มัตสึ), ต้นไผ่ (take ตาเกะ) และต้นบ๊วย (ume อือเมะ).
    รายละเอียดเกี่ยวกับวัฒนธรรมสวนและต้นไม้ของญี่ปุ่นนั้น มีมากเกินกว่าจะนำมาลงในเนื้อหาทั่วไปเกี่ยวกับศัพท์สวนนี้ได้ ต้องแยกออกไปเป็นเล่มต่างหาก. ในที่นี้ จึงเป็นเพียงการสรุปหลักการใหญ่ๆและแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเท่านั้น แล้วเน้นการนำไปดูสวนญี่ปุ่นที่เนรมิตขึ้นนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นสำคัญ. สวนภายในญี่ปุ่นนั้น เข้าไปดูได้ในอินเตอเน็ตเกี่ยวกับญี่ปุ่นโดยเฉพาะที่มีจำนวนมากทั้งที่เป็นเว็ปของชาวญี่ปุ่นเองและเป็นเว็ปของชาวต่างชาติ. เว็ปต่างชาติที่ดีๆให้ความรู้พื้นฐานที่เจาะลึกกว่าภาพสวยๆในเว็ปญี่ปุ่นที่มีข้อมูลไม่มากไปกว่าที่ตั้งและสภาพสวน. ตัวอย่างสองเว็ปนี้ให้ข้อมูลความรู้ที่มีประโยชน์กว่ามาก.

สองภาพนี้เป็นสวนแบบญี่ปุ่นที่บรรจงเนรมิตขึ้นภายในบริเวณของสวนพฤกษศาสตร์ Kew Garden ประเทศอังกฤษ. ให้ภาพรวมของภูมิประเทศแบบญี่ปุ่นในยุคโมโมะยะมะ(Momoyama 桃山)ปลายศตวรรษที่16. จุดใจกลางของสวนนี้อยู่ที่ประตู Chokushi-Mon (直視) พร้อมหลังคาตามสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในยุคนั้น. ประตูนี้จำลองย่อส่วนลงเป็นหนึ่งในสามของประตู Karamon (唐門) จากวัด Nishi Hongan-ji (西本願寺) ที่เมืองเกียวโต (ประตู Karamon ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติมีค่าของญี่ปุ่น). ประตูจำลองที่สวนคิวนั้น สร้างขึ้นสำหรับนิทรรศการญี่ปุ่น-อังกฤษที่จัดขึ้นเมื่อปี1910 ที่กรุงลอนดอน. หลังนิทรรศการ มีการถอดประตูนี้ลงแล้วนำไปประกอบขึ้นใหม่ ตั้งประดับในสวนคิวตั้งแต่นั้นมา.
    หลายสวนในยุโรปพยายามสร้างมุมสวนญี่ปุ่นไว้ แต่ในความเป็นจริงด้านการสร้างสรรค์แบบสถาปัตยกรรมในสวน(ที่โดยปริยายต้องจำลองและย่อส่วนลงมาก) กับในบรรยากาศของท้องที่ บวกขนาดของพื้นที่(ทั้งสภาพแวดล้อมนอกพื้นที่ด้วย) รวมกันไม่เอื้ออำนวยให้ถ่ายทอด“ความเป็นสวนญี่ปุ่น” ได้ชัดเจนมากนัก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การสร้างอาคารประดับสวน มิใช่เพียงการก่ออิฐถือปูนให้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมแบบหนึ่งลงบนพื้นที่หนึ่ง แต่คือการจัดที่สถิตของจิตวิญญาณของวัฒนธรรมหนึ่งบนพื้นที่หนึ่ง ให้เหมาะสม สง่างามและดลใจ.
    สวนญี่ปุ่นภายในสวน Planten un Blomen (ชื่อแปลว่าต้นไม้และดอกไม้) ที่เป็นสวนสาธารณะกลางเมืองฮัมบูร์ก อาจนับเป็นตัวอย่างแบบสวนญี่ปุ่นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งนอกเกาะญี่ปุ่น.
ทางเดินปูอิฐก้อนเล็ก พุ่มไม้แบบญี่ปุ่น สีสดใสตามค่านิยมญี่ปุ่น
มีส่วนที่ปูด้วยแผ่นหินใหญ่ๆ จัดไว้ได้ดีทีเดียว.
เขาดูแลต้นไม้และพื้นสวนอย่างตั้งใจและจริงจัง.
หินแผ่นใหญ่กับกรวดปูให้เป็นชายฝั่งน้ำ
ต้นไม้ในบริเวณสวนญี่ปุ่นนี้ เลือกสรรและดูแลให้มีความสูง
สมมาตรกับสวนญี่ปุ่นที่เป็นแบบสวนพื้นราบมากกว่า.
แนวหินริมฝั่งน้ำ จัดทำได้สวยงาม (แม้จะดูแข็งๆอยู่มาก)
แนวต้นไม้หลังฉากก็เลือกสรรมาปลูกอย่างเหมาะเจาะ 
คลองยาวโค้งลดเลี้ยวนิดๆ นำไปถึงที่ตั้งของ“อาคารน้ำชา”
(แบบเก่าสร้างใหม่) (Chashitsu 茶室)
เรือนญี่ปุ่น ยิ่งอยู่ริมน้ำ เป็นที่นั่งชมวิว พร้อมๆกับการดื่มน้ำชา
อาจใช้เป็นที่ประกอบพิธีชา หรือบริการชาตามแนวปัจจุบัน
ตรงนี้มีนาฬิกาแดดด้วย ดูไม่ขัดตา. นาฬิกาแดดไม่เคยเป็นองค์ประกอบสวนญี่ปุ่น.
ห้องโถงยาวใหญ่ โล่งกว้าง ไม่มีเก้าอี้ อาจเพื่อประโยชน์อื่นใดไม่แจ้งแก่ใจ.
สวนญี่ปุ่นในญี่ปุ่นบางแห่งมีศาลาที่พักแบบนี้ เพื่อให้คนไปนั่งปิกนิกได้.
ซุ้มต้นวิสทีเรียที่ทำไว้ได้สวย
โอ่งหินใส่น้ำเต็มปริ่ม เป็นกระจกส่องท้องฟ้า ตั้งในหมู่ก้อนหินและมวลไม้
อาจต้องการโยงไปถึงอ่างหินล้างมือ (Tsukubai 蹲踞) ก่อนเข้าสู่บริเวณศักดิ์สิทธิ์
ทางเดินในสวน ปูกรวดก้อนเล็กไว้ ให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์แบบหนึ่งของสวนญี่ปุ่นในญี่ปุ่น อาจเป็นทางเดินริมฝั่งน้ำ
ตะเกียงหินตั้งในมุมหนึ่งพร้อมแผ่นจารึกว่า เนื่องในวาระครบสิบปีแห่งมิตรภาพ ระหว่างเมืองท่าโยโกฮามากับเมืองฮัมบูร์กที่นับเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน. เมืองโยโกฮามามอบตะเกียงหินนี้ให้เป็นอนุสรณ์เมื่อเดือนตุลาคมปี2010.
และเมื่อก้าวออกจากสวน ก็ก้าวไปตามหินก้อนกลมตัดเรียบขนาดเสมอกันที่วางในน้ำตื้นๆ รับกับที่นั่งกลมๆสำหรับเด็กในบริเวณนี้ได้ดี. ส่วนหินสำหรับก้าวข้ามน้ำ (stepping stones) หรือก้าวขึ้นลงจากเรือนในสวนญี่ปุ่น เป็นหินธรรมชาติขนาดและรูปลักษณ์ตามธรรมชาติหิน เลือกเอาด้านที่ยืนได้ไม่ล้มอยู่ด้านบน หินทุกก้อนต่างกัน.

สวนญี่ปุ่นที่ Washington Park เมือง Portland, รัฐ Oregon, USA เรียกกันทั่วไปว่า Portland Japanese Garden มีชื่อเสียงว่าเป็นหนึ่งในสวนภูมิทัศน์ญี่ปุ่นที่โดดเด่นมาก. พื้นที่กว้าง ทำให้เนรมิตและจำลองมุมสวนหลากหลายแบบ โยงใยทั้งสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมสวนกับการชมสวน ตามความคุ้นชินของชาวญี่ปุ่น. สวนญี่ปุ่นที่นั่นประกอบด้วยสวยย่อยแปดสวนดังภาพพื้นที่ข้างล่างนี้.
ติดตามดูภาพและรายละเอียดของสวนนี้ได้ตามลิงค์ที่ให้นี้.

Jardim  เป็นคำในภาษาปอรตุเกส แปลว่า สวน เขียนลงท้ายด้วย m ถ้าลงท้ายด้วยตัว n เป็น Jardin กลายเป็นคำฝรั่งเศส และหากมีสัญลักษณ์ขีดเฉียงจากขวาไปซ้ายบนตัวสระไอเป็น jardín ก็กลายเป็นคำสเปน. ทั้งสามคำในสามภาษามีความหมายเดียวกัน.

Jardin anglais เป็นคำฝรั่งเศส ตรงกับคำที่ใช้กันทั่วไปในภาษาอังกฤษว่า English garden. ใช้เรียกสวนที่ไม่มีแบบแผนเจาะจง ที่อังกฤษเนรมิตขึ้นจากอุดมการณ์แนวใหม่ ที่เรียกว่าสวนภูมิทัศน์. นั่นคือสวนที่จำลองภูมิประเทศบนเส้นทางขณะที่ผู้เดิน ชม เห็นและค้นพบเหมือนเมื่อไปเดินป่า ค้นพบมุมมอง ทิวทัศน์ใหม่จากจุดหนึ่งบนเส้นทางเดินที่ก็อาจวกวนไปมาด้วย. คำนี้ยังอาจหมายถึงทัศนียภาพสวนที่มีอาคารสิ่งก่อสร้างเป็นองค์ประกอบ. ทัศนียภาพแบบนี้เป็นเนื้อหาในจิตรกรรมที่นิยมกันมากในประเทศอังกฤษตั้งแต่ศตวรรษที่17 เช่นจิตรกรรมของ Claude «le Lorrain» (c.1604-1682).
ตัวอย่างภาพเมือง Delphi จิตรกรรมภูมิทัศน์ของ Claude Lorrain ให้รายละเอียดและการใช้แสงสี เสนอภาพธรรมชาติในชนบทที่อุดมสมบูรณ์ และบรรจงแทรกอาคารสถาปัตยกรรมคลาซสิกเป็นพื้นหลังทั้งในระยะใกล้และไกลออกไป. เป็นภูมิทัศน์ในจินตนาการอันสวยงามของจิตรกร ไม่มีจริง. หากมีบุคคลในภาพ การตั้งชื่อโยงถึงกิริยาท่าทางของคนเหล่านั้น สร้างความสมจริงอิงประวัติศาสตร์ที่มีเนื้อหาจากคัมภีร์หรือประวัติศาสตร์โลกโบราณเป็นต้น. ในภาพนี้เห็นกลุ่มคนที่ผ่านไปบนสะพานกับวัวตัวหนึ่งที่พวกเขากำลังนำไปฆ่าสังเวย. Claude Lorrain สร้างแนวโน้มใหม่ในจิตรกรรมภูมิทัศน์ตั้งแต่นั้นมา.[Public domain], via Wikimedia Commons.

Jericho [เจริโฆ] (อยู่ภาคเหนือของทะเลทรายในประเทศอิสราเอล) เชื่อกันว่าน่าจะเป็นเมืองที่เก่าที่สุดในโลก ที่พัฒนาจากการตั้งรกรากของชนเผ่านักล่าสัตว์ในยุคเมโสลิติกราวปี 9000 BC. และมาเป็นเมืองที่มีกำแพงหินล้อมรอบในราวปี 8000 BC. ขนาดของเมืองเจริโคทำให้คาดจำนวนประชากรได้ว่า น่าจะมีประมาณสองถึงสามพันคน. การขุดพบทรากเมืองนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาการเกษตรและการชลประทานแบบแรกๆของมนุษยชาติ.
---------------------------
Letter K >> Karesansui, Kennels, Kiosk, Kitchen garden, Knoll, Knot garden.
https://chotirosgardenterms.blogspot.com/2018/05/k-knot-garden.html
เมนูหนังสือ ประมวลความรู้จากศัพท์อุทยานศิลป์
https://chotirosgardenterms.blogspot.com/2018/06/mygardenbook-menu.html

Comments